เตือนชาวเชียงรายป้องกันตัวเองจากวิกฤตฝุ่นพิษ PM2.5

เชียงราย-คนเชียงรายงัดสารพัดวิธีป้องกันตัวเองในการเผชิญฝุ่นควันพิษPM2.5ที่ฟุ้งหนัก ทั้งหนีเข้าป่า-สวมหน้ากาก-พ่นน้ำ-ปัดกวาด

วันนี้ (7 เม.ย.) สถานการณ์การปกคลุมของฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กหรือ PM 2.5 พบว่าทำให้สภาพอากาศขมุกขมัวมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา หลังจากที่ในช่วง 4-5 วันที่ผ่านมามีลมพัดแรงทำให้สภาพอากาศแจ่มใสขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีไฟป่าเกิดขึ้นในฝั่งประเทศเพื่อนบ้านและภายในพื้นที่อย่างหนักในช่วง 1-2 วันนี้ ทำให้ฝุ่นควันกระจายปกคลุมไปทั่วบริเวณ โดยกรมควบคุมมลพิษรายงานเมื่อเวลา 14.00 น.ว่าเขต อ.เมืองเชียงราาย มีปริมาณ PM 2.6 มากถึง 237 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยเฉพาะบริเวณท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย ซึ่งมีสภาพเป็นที่โล่งกว้างได้มีฝุ่นละอองลอยปกคลุมจนทำให้ทัศนวิสัยของเครื่องบินมีไม่เกิน 1 กิโลเมตร แต่ยังคงทำการบินขึ้นลงได้ตามปกติ ส่วนชายแดนไทย-เมียนมา อ.แม่สาย พบว่าวัดได้ 342 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตา และชายแดนไทย-สปป.ลาว วัดได้ 342 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

ด้านชาวบ้านใน อ.เวียงชัย คนหนึ่งกล่าวว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรีบแก้ไขด่วนเพราะฝุ่นควันเกิดขึ้นมานานนับเดือนแล้ว โดยช่วงก่อนหนักกว่านี้อีกกระทั่งเบาบางลงจนทำให้ตนต้องป้องกันตัวเองอย่างหนักและบางช่วงก็ต้องออกจากบ้านไปอยู่ในป่าเขาเพื่อหวังจะให้ได้อากาศดีขึ้นบ้าง อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดก็ต้องเฝ้าระวังด้วยการสวมใส่หน้ากกาอนามัยและอยู่บ้านด้วยการปิดกั้นไม่ให้ฝุ่นเข้าไปได้ง่ายแม้กระนั้นตนก็ยังมีอาการไม่สบายในบางครั้งแม้ว่าจะป้องกันอย่างดีแล้วก็ตาม

ส่วนผู้พิการที่มีอาชีพขายสลากกินแบ่งรัฐบาลคนหนึ่งใน อ.เมืองเชียงราย กล่าวว่าเนื่องจากตนมีความจำเป็นต้องออกไปขายหวยทำให้ได้รับผลกระทบด้านการแสบตา ส่วนการหายใจนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้คือต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ถอดเลย ส่วนการแก้ไขปัญหานั้นยังไม่เห็นทางออกเลย

ด้านแม่ค้าขายสินค้าที่ชุมชนเหมืองแดง อ.แม่สาย กล่าวว่าผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือหายใจลำบากแม้แต่เวลานอนและยังมีอาการแสบตาด้วย ครั้นจะออกนอกบ้านก็ทำแทบไม่ได้วิธีการคือเปิดน้ำและฉีดน้ำตามบ้านตลอด รวมทั้งปัดกวาดบ้านให้บ่อยครั้งตลอดทั้งวันเพราะมีฝุ่นคล้ายเขม่าควันไปเกาะตามที่ต่างๆ โดยตนขายสินค้าเป็นอาหารก็มักปลิวไปเกาะตามอาหารทำให้ต้องระมัดระวังหนักด้วย ซึ่งในปีที่ผ่านๆ มาไม่เคยรุนแรงอย่างนี้มาก่อน