Health
11 สัญญาณอันตราย “โรคแพ้ภูมิตัวเอง” (SLE)
อธิบดีกรมการแพทย์ ระบุ โรคภูมิต้านทานผิดปกติทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง อวัยวะต่าง ๆ มีระดับความรุนแรงต่างกัน ตั้งแต่การระคายเคืองผิวหนังและอาการปวดข้อไปจนถึงภาวะร้ายแรงที่คุกคามชีวิต ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมีมากกว่าผู้ชาย หากสงสัยว่ามีการติดเชื้อหรือมีอาการผิดปกติในผู้ป่วย SLE ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ อาการเหล่านี้ เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย มีผื่นขึ้น ไม่สบายข้อ ผมร่วง แผลในปาก ฯลฯ อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอาการป่วยกำลังจะกลับมาอีก เพื่อการปฏิบัติที่ดีที่สุดคุณควรไปพบแพทย์
SLE หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง คืออะไร?
นพ.สมศักดิ์ อัครศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคลูปัสอีรีทีมาโตซัส (Systemic Lupus Erythematosus) หรือ SLE เป็นโรคภูมิต้านทานทำลายเนื้อเยื่อของร่างกาย ทำให้เกิดการอักเสบถาวร ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด อย่างไรก็ตาม พันธุกรรมมีบทบาทสำคัญ และปัจจัยอื่นๆ เช่น การติดเชื้อ ยา แสงแดด และสารพิษจากสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้สามารถนำไปสู่โรคได้ ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมีอาการนี้มากกว่าผู้ชาย
อาการของโรคภูมิต้านตนเอง
อาการของโรคนี้ เช่น ผื่น โรค SLE ความผิดปกติของผิวหนัง ระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด อาการแสดงเป็นพักๆ เม็ดเลือด ไต ระบบหายใจ กล้ามเนื้อและข้อ ผมร่วง เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ การนำเสนอทางคลินิกจึงมี ความแตกต่างมากมายในผู้ป่วย SLE และความรุนแรงแตกต่างกันไปตั้งแต่สัญญาณเล็กน้อย เช่น ผื่นและอาการปวดข้อ ไปจนถึงสัญญาณร้ายแรงและอาจถึงแก่ชีวิต เช่น ไตอักเสบ ส่งผลให้ผู้ป่วยแต่ละรายได้รับการเอาใจใส่ในระดับที่แตกต่างกัน แต่ผู้ป่วยอาจมีชีวิตค่อนข้างปกติ
การตรวจเลือดและประวัติทางการแพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโรค SLE ซึ่งต้องเป็นไปตามเกณฑ์การวินิจฉัยอย่างน้อย 4 ข้อต่อไปนี้:
- ใบหน้าได้รับผลกระทบและมีผื่นรูปผีเสื้อปรากฏขึ้นที่นั่น
- ผื่นดิสคอยด์ (discoid rash) เป็นผื่นที่ผิวหนังชนิดหนึ่ง มักปรากฏที่ศีรษะ หู ลำตัว และแขนขา
- เมื่อออกแดด คนที่แพ้แดดจะเกิดผื่นที่ผิวหนังอย่างรุนแรง
- แผลในช่องปาก
- โรคข้ออักเสบ
- ปริมาณโปรตีนหรือไข่ขาวในปัสสาวะมากเกินไปเป็นสัญญาณของการอักเสบของไต
- อาการชักหรืออาการทางระบบประสาทอื่นๆ
- หัวใจ เยื่อหุ้มปอด หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- หน้าซีด เกล็ดเลือดต่ำหรือเม็ดเลือดขาวต่ำ (ไม่ได้เกิดจากยาหรือการติดเชื้อ)
- การตรวจเลือดเพื่อหาแอนติบอดีต่อต้านนิวเคลียร์
- การตรวจหาแอนติบอดี antiphospholipid แอนติบอดี Anti-dsDNA หรือการตรวจเลือดบวกเท็จสำหรับซิฟิลิส
การรักษาโรคภูมิต้านตนเอง
เนื่องจากโรคเอสแอลอีต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานาน ผู้ป่วยควรดูแลตัวเองนอกเหนือจากการรักษาอาการป่วย ควรเข้าใจที่มาและสาเหตุของโรค การเข้าใจสาเหตุของการประเมินเป็นหนึ่งในนั้น ควรปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ดังนี้
- ไม่ต้องกังวล เพียงแค่ผ่อนคลาย
- พักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายบ่อยๆ
- รบประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล กินอาหารเพื่อสุขภาพที่ปรุงอย่างดีเท่านั้น
- หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง เมื่อออกแดด ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป
- อยู่ในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ห่างไกลจากพื้นที่แออัด
- อย่าตั้งครรภ์หากคุณมีอาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่หรือเกิดซ้ำ
- รับประทานยาเป็นประจำ
- เมื่อคุณมีอาการของการติดเชื้อ เช่น มีไข้ เจ็บ มีน้ำมูก มีน้ำมูก ไอ แสบร้อน ท้องเสีย หรือต้องการการรักษาเพิ่มเติม เช่น การทำฟันหรือการผ่าตัด คุณคว
- ไปพบแพทย์หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ เหนื่อยง่าย มีผื่น ปวดข้อ ผมร่วง มีแผลในปาก เป็นต้น สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอาการป่วยกำล
- กลับมา เพื่อให้แพทย์เปลี่ยนยา หยุดยา หรือพิจารณาให้ยาเท่าที่จำเป็น
- ติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอและอย่าหยุดยาเอง การพิจารณาว่าบางครั้งทำให้เกิดอาการกำเริบอย่างรุนแรง