Football
ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ออนไลน์ ด้วยกฎ Must Carry ที่คนอื่นพกไม่ได้
ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ออนไลน์
ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ออนไลน์: หลังจากที่การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ระดมทุน 1,300 ล้านบาท เพื่อซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ปัญหาเกี่ยวกับการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกก็ยังไม่หมดไป ในช่วงสัปดาห์แรกที่บอลโลกเปิดฉากได้เห็นอย่างน้อย 2 ประเด็นที่กระทบโดยตรงกับคนดูบอลโลก
ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ออนไลน์: ปัญหาแรกคือทรูที่ทุ่มทุน 300 ล้านบาท ได้สิทธิ์ถ่ายทอดสด 32 นัด จากทั้งหมด 64 นัด ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ไม่เหมาะสม และยังมีสิทธิ์เลือกคู่ที่จะถ่ายทอดสดก่อนอีกด้วย
ปัญหาอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันคือกฎ Must Carry ไม่ทำงานอย่างที่ควรจะเป็น ผู้ให้บริการทีวีผ่านกล่องต่างๆ และผ่านเน็ต ไม่สามารถถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกจากทีวีดิจิตอลตามที่ กสทช. กำหนดได้ เนื่องจากทรูที่ลงทุน 300 ล้านบาท และได้สิทธิ์ถ่ายทอดสดผ่าน IPTV และ OTT แต่เพียงผู้เดียว
การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ทุ่มงบ 1,300 ล้านบาท ซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอด (Media Rights Licensees) ฟุตบอลโลก 2022 แต่ปัญหาการถ่ายทอดฟุตบอลโลกยังไม่หมดไป
มีการถ่ายทอดสดผิดพลาดอย่างน้อย 2 ครั้งตลอดสัปดาห์แรกของฟุตบอลโลก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อใครก็ตามที่ต้องการชมฟุตบอลโลก
ประเด็นแรกคือการที่ทรูทุ่มทุน 300 ล้านบาท ได้รับอนุญาตให้ถ่ายทอดสด 32 นัด จากทั้งหมด 64 นัด ซึ่งเป็นการกระจายที่ไม่เท่าเทียมกัน นอกจากนี้ยังให้ตัวเลือกในการเลือกคู่ที่จะถ่ายทอดสดก่อน สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ยุติธรรมและความไม่เท่าเทียมกันอย่างมีนัยสำคัญ
ประเด็นแรกนี้ได้รับการจัดการแล้ว เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ทรูอนุญาตให้ช่องทีวีดิจิทัลถ่ายทอดสดคู่ขนานได้ 16 แมทช์ จากทั้งหมด 32 แมตช์ที่ทรูเข้าร่วม โดยเหลือ 16 แมตช์ที่ทรูรับชมเท่านั้น
อีกประเด็นหนึ่งที่สอดคล้องกันคือกฎ Must Carry ไม่ทำงานอย่างที่ควรจะเป็น สิ่งที่เราจะหารือกันเป็นเวลานาน
ก่อนจะเข้าเรื่องควรแยกประเด็นเรื่อง ‘การดำเนินการตามกฎข้อบังคับ’ และ ‘ความเหมาะสมของการมีกฎข้อบังคับ’ ออกจากกันเสียก่อน
เกี่ยวกับการมีอยู่ของกฎ Must Carry ที่มีการระบุอย่างกว้างขวางว่าควรยกเลิกเพราะเป็นการขัดขวางภาคเอกชนที่ลงทุนในธุรกิจการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดฟุตบอลโลก เนื่องจากการมีกฎนี้ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ยากมากที่จะทำกำไรจาก
อย่างไรก็ตามการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ในประเทศไทยยังอยู่ภายใต้กฎ Must Carry ของ กสทช. และเงิน 600 ล้านบาทที่ใช้ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดเป็นเงินของ กสทช. ซึ่งเป็นเงินของรัฐ เนื่องจากไม่ใช่การซื้อสิทธิแต่เพียงผู้เดียว การออกอากาศ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ เหมาะสม เสมอภาค และเป็นธรรม
สาระสำคัญของระเบียบ Must Carry คือ ผู้ให้บริการทีวีทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ดาวเทียม หรือ โทรทัศน์ผ่านอินเทอร์เน็ต (IPTV) จะต้องนำสัญญาณของช่องทีวีดิจิทัลพื้นฐานที่เป็นฟรีทีวีไปเผยแพร่ด้วยเพื่อให้ประชาชน ได้รับชมทีวีดิจิตอลฟรี
ยกตัวอย่าง ทีวีบ้านไหนที่ใช้กล่อง AIS PLAYBOX ก็ต้องดูช่องทีวีดิจิตอลพื้นฐานที่เป็นฟรีทีวีผ่านกล่องนั้นได้เช่นกัน บ้านไหนดูทีวีผ่านจานดาวเทียมก็ต้องดูช่องฟรีทีวีด้วย
ประเด็นครั้งนี้คือทรูเลือกถ่ายทอดสด 32 คู่ที่ทรูไป IPTV และ OTT ของทรูที่ไม่ใช่ช่องทีวีดิจิตอลภายใต้ กสทช. (และมีบางคู่ที่ออกอากาศผ่าน True4U ซึ่งเป็นช่องฟรีทีวีความคมชัดมาตรฐาน ) และเมื่อไม่ใช่ช่องทีวีดิจิทัลพื้นฐานตามที่ กสทช. บังคับใช้กฎ Must Carry จึงไม่กำหนดให้ทีวีรูปแบบอื่นนำสัญญาณภาพมาออกอากาศได้
ส่งผลให้การถ่ายทอดบอลโลก 16 นัด กลายเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของทรูซึ่งรับชมได้ผ่านช่องของทรูเท่านั้น ซึ่งดูได้โดยเสียค่าธรรมเนียมเท่านั้น ประชาชนไม่สามารถดูฟรีได้ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของกฎหมาย Must Have and Must Carry ที่กำหนดให้ประชาชนสามารถชมฟุตบอลโลกได้ฟรี
หลายคนสงสัยว่าทำไมรัฐถึงยอมให้เอกชนทำ
และหากนึกย้อนไปสัก 2-3 ปี หลายคนน่าจะระลึกได้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์คล้ายๆ กัน ความแตกต่างเล็กน้อยเท่านั้น
การถ่ายทอดฟุตบอลโลกปี 2018 ไม่ได้ซื้อโดยธุรกิจการค้าใด ๆ ที่ซื้อลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก ส่งผลให้รัฐบาลตกลงให้เอกชน 9 รายจัดการแข่งขันจนนำเงินไปซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด FIFA เพื่อ ‘ถ่ายทอดสด’ ในประเทศไทยตามเกณฑ์ Must Have
ขณะนั้นมีรายงานว่า True ซึ่งเป็นธุรกิจเอกชน 1 ใน 9 รายที่ยื่นฟ้องศาลไม่ให้ AIS ออกอากาศสัญญาณถ่ายทอดสดจากฟรีทีวีผ่านกล่อง AIS PLAYBOX จบลงด้วยการที่ช่องทีวีดิจิทัลอยู่อันดับต้นๆ กล่อง AIS PLAYBOX แสดงหน้าจอเป็นสีดำ
เมื่อมองจากมุมส่วนตัว เข้าใจง่ายๆ ว่าบริษัทต้องหาช่องทางในการทำธุรกิจเพื่อคืนทุนหรือกำไรจากเงินที่ลดลง
แต่ทำไมรัฐปล่อยให้เอกชนตัดสินใจเองมากมายขนาดนี้
คำตอบอาจง่ายเพียงแค่ ‘พิจารณา’ รัฐนึกถึงทุนที่เขาให้ พิจารณาอำนาจของทุนซึ่งมีอำนาจควบคุมทุกยุคทุกสมัย
หรืออาจซับซ้อนกว่านั้น
หากเราลงรายละเอียดเพิ่มเติมในสถานการณ์เฉพาะนี้ ทรู ห้ามผู้ให้บริการ IPTV และ OTT รายอื่นถ่ายทอดสดการแข่งขัน โดยระบุว่า “ทรู ในฐานะผู้รับลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2022 ทาง IPTV และ OTT ไม่ได้นิ่งนอนใจและดำเนินการปกป้องสิทธิ์ตามกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาโดย ยื่นฟ้องผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทีวีที่ให้บริการผ่านกล่อง AIS PLAYBOX ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง” นอกเหนือจากการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวจากการละเมิดลิขสิทธิ์”
ต่อมาศาลทรัพย์สินทางปัญญา บริษัท ซุปเปอร์ บรอดแบนด์ เน็ทเวอร์ค จำกัด (SBN) ผู้ให้บริการกล่อง AIS PLAYBOX มีคำสั่งไม่ให้ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก เป็นการรักษาสิทธิของกลุ่มทรูในฐานะผู้ได้รับสิทธิตามกฎหมาย
ดูเหมือนทรูจะพูดราวกับว่าเขาเป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว อย่างไรก็ตาม จากเอกสารอย่างเป็นทางการของฟีฟ่า ผู้ซื้อช่องรายการถ่ายทอดสดทั้งหมดในประเทศไทยเป็นเจ้าของรายเดียวกัน ซึ่งก็คือการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)
ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ออนไลน์: จึงควรตั้งคำถามหรือตั้งสมมติฐานต่อไปว่า
ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกทุกคู่ที่ กกท. ซื้อมา ทรูจะได้รับลิขสิทธิ์การออกอากาศครึ่งหนึ่งจาก กกท. แล้วมีเงื่อนไขว่า True จะถ่ายทอดสดผ่าน IPTV และ OTT เท่านั้น แลกกับเงิน 300 ล้านบาท จริงไหม? รัฐกำลังพิจารณาลงทุน 300 ล้านบาท ซึ่งตรงข้ามกับกฎ Must Carry แต่อย่างที่ True ระบุไว้ มีกฎหมายที่มากกว่ากฎ Must Carry ของ กสทช.
หรืออีกทฤษฎีหนึ่งในการตกลงซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดจากเจ้าหน้าที่ฟีฟ่า กกท. ระบุไว้แต่แรกว่าฟรีทีวีจะส่งภาพและเสียงกี่คู่ และมีกี่คู่ที่กระจายผ่าน IPTV และ OTT หมายความว่าข้อเสนอนี้ไม่ได้รับทั้งหมด (ทุกช่องมีบันเดิลถ่ายทอดสด 64 คู่) ใช่หรือไม่ แล้วแต่สมมติฐาน จะบอกว่า ต่อรองราคาต่ำกว่า ก็ไม่ถูก แต่จะลงราคาตามพารามิเตอร์ของการถ่ายทอด ซึ่ง ไม่ได้ออกอากาศครบทุกคู่ทุกช่อง
อาจมีสมมติฐานหรือความเป็นไปได้อื่นนอกเหนือจากนี้
ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ตามสมมติฐาน กกท. น่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคนเราไม่สามารถดูบอลโลกทั้ง 64 แมตช์ได้ฟรีตามที่ระบุไว้ แต่เขาก็ยังออกมาประกาศข้อดีของการซื้อสิทธิ์ถ่ายทอดสดให้ประชาชนฟรีทุกคู่
Related CTN News: