region,ข่าวไทย, เชียงรายนิวส์,

ตร. จับแนวร่วม “ราษฎร” อย่างน้อย 7 คน หลังเกิดเหตุวุ่นวายหน้าศาลฎีกา ขณะที่แกนนำระดมพลเข้า กท

Published

on

กลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยและให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เรียกตัวเองว่า “ราษฎร” ประกาศระดมพลเข้ากรุงเทพฯ ในอีก 7 วันข้างหน้า หาก 4 แกนนำที่ถูกฝากขังอยู่ภายในเรือนจำไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวออกมา ขณะเดียวกันได้เกิดเหตุชุลมุนหลายครั้ง

ในขณะรอผลการเจรจาระหว่างนายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือ “ครูใหญ่” แกนนำกลุ่ม “ขอนแก่นพอกันที” และแกนนำกลุ่มราษฎร กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าจะอนุญาตให้ตัวแทนกลุ่มราษฎรที่เคลื่อนขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมาปักหลักอยู่หน้าศาลฎีกา สนามหลวง เข้าไปทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ภายในศาลหลักเมืองหรือไม่ ได้เกิดเหตุชุลมุนขึ้นในเวลา 19.40 น. เมื่อประชาชนบางส่วนเข้าไปเตะและพยายามฝ่าแนวเครื่องกีดขวางซึ่งเจ้าหน้าที่นำมาวางไว้ อีกทั้งยังมีการขว้างปาสิ่งของจากแนวผู้ชุมนุมใส่แนวเจ้าหน้าที่ มีทั้งพลุสี และมีเสียงดังคล้ายวัตถุแตก ทำให้ผู้ชุมนุมเกิดความแตกตื่น ร้อนถึงบรรดาแกนนำต้องช่วยกันควบคุมสถานการณ์

น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือ “พยาบาลแหวน” ซึ่งอยู่แนวหน้าผู้ชุมนุม ตะโกนว่า “ใครรื้อลวดหนามไม่ใช่มวลชนของเรา”

หลังความวุ่นวายสงบลง มีการเจรจากันยกสอง ก่อนที่ตำรวจจะเปิดทางให้ตัวแทนราษฎร 4 คน นำโดยนายอรรถพล เข้าไปทำกิจกรรมด้านหน้าศาลหลักเมืองได โดยใจความสำคัญเป็นการเทน้ำลงพื้นในลักษณะของการกรวดน้ำ พร้อมขอให้ศาลหลักเมือง “ปกปักษ์รักษาราษฎร อย่าเห็นแก่บัดพลี… จงเห็นแก่อาณาราษฎร ศักดินาจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ” ทั้งนี้ใช้เวลาไม่ถึง 2 นาที ก่อนกลับออกมาโดยบอกกับสื่อมวลชนว่า “แม้เทพเทวดาก็ต้องอยู่กับราษฎร”

แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดชุลมุนขึ้นอีกในเวลา 20.10 น. เมื่อมีผู้ไม่หวังดีเปิดฉากขว้างปาข้าวของจากแนวผู้ชุมนุมใส่แนวตำรวจ มีทั้งขวดน้ำ ก้อนอิฐ พลุควัน และเป็นอีกครั้งที่แกนนำราษฎรอย่างนายอรรถพลต้องประกาศผ่านรถเครื่องขยายเสียงว่า “ถ้ามีการขว้างปาของถือว่าไม่ใช่ราษฎร”

ในระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงเป็นระยะว่าพวกเขามาเพื่อป้องกันบุคคลที่ 3 ไม่ให้มาทำร้ายประชาชน และขอร้องประชาชนอย่าทำลายแนวกั้นของเจ้าหน้าที่

อย่างไรก็ตามความชุลมุนทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเวลาไม่นานหนัก ก่อนที่สถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ

นายอรรถพลได้ขึ้นปราศรัยเป็นคนสุดท้าย โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า หากไม่มีสัญญาณอะไร ในอีก 7 วันข้างหน้า ถนนทุกสายจะมุ่งเข้ากรุงเทพฯ ในวันที่ 20 ก.พ. “ถ้าไม่ปล่อยเพื่อนเรา เจอราษฎรทั้งประเทศแน่นอน” ก่อนประกาศยุติการชุมนุมในเวลา 20.22 น.

แม้แกนนำแจ้งยุติกิจกรรมแล้ว แต่มวลชนบางส่วนยังไม่ยอมกลับบ้าน ส่งผลให้เกิดการเผชิญหน้ากับตำรวจ และสถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นอีก

เวลา 21.00 น. มีเสียงดังคล้ายระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตำรวจประกาศขีดเส้นตายให้ผู้ชุมนุมเดินทางกลับภายในเวลา 21.30 น. พร้อมระดมรถน้ำเข้าพื้นที่

ผู้สื่อข่าวถามว่าเสียงดังคล้ายระเบิดที่เกิดขึ้นคืออะไร พ.ต.อ.อรรถวิทย์ สันนิษฐานในเบื้องต้นว่าอาจเป็นประทัดยักษ์ แต่จะดำเนินการเก็บหลักฐานเพื่อตรวจสอบต่อไป พร้อมเปิดเผยว่ามีตำรวจได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้อย่างน้อย 20 นาย

การหวนคืนสู่ท้องถนนของผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎรเกิดขึ้นหลังจากศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวและฝากขัง 4 แกนนำราษฎร ตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. ที่ผ่านมา ประกอบด้วย นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, นายอานนท์ นำภา, นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และนายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือหมอลำแบงค์ จากกรณีชุมนุมเมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. 2563 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และสนามหลวง

การนัดเคลื่อนไหวใหญ่ภายใต้ชื่อ “นับ 1 ถึงล้าน คืนอำนาจให้ประชาชน” เกิดขึ้นตั้งแต่เวลา 15.00 น. ซึ่งนอกเหนือจากการเรียกร้องให้ปล่อยแกนนำราษฎร อีกประเด็นหลักที่ถูกชูขึ้นมาในการชุมนุมวันนี้ (13 ก.พ.) คือเรียกร้องยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่าด้วยการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์

ผู้ชุมนุมราษฎรต่างนำหม้อและกระทะมาเคาะให้เกิดเสียงดัง สื่อสัญลักษณ์ขับไล่เผด็จการ แบบที่ผู้ประท้วงชาวเมียนมาใช้ต่อต้านเผด็จการทหารที่ก่อรัฐประหารเมื่อ 1 ก.พ.

ขณะที่อีกหลายคนร่วมกันเขียนข้อความระบายความในใจลงผืนผ้าสีแดงความยาวราว 30 เมตร อาทิ “ยกเลิก 112” “ชาติ = ประชาชน” “เผด็จการจงพินาศ”

เวลา 17.25 น. นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ประกาศเชิญชวนประชาชนให้เข้าไปรื้อถอนต้นไม้และดอกไม้ที่เขาเรียกว่า “สิ่งแปลกปลอม” ออกจากบริเวณรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยให้เหตุผลว่า “อนุสาวรีย์ไม่ได้สวยด้วยดอกไม้ แต่สวยด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่นำเข้ามาในไทย” ทั้งนี้ผู้ชุมนุมบางส่วนได้นำกระถางต้นไม้มาจัดเรียงเป็นคำว่า “112” ด้วย

จากนั้นเมื่อเสียงเพลงชาติจบลงพร้อมการชูสามนิ้วของกลุ่มราษฎรในเวลา 18.03 น. ผู้ชุมนุมได้นำผ้าสีแดงขึ้นไปคลุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งถือเป็นการจบกิจกรรมไฮไลท์ที่จุดนี้

ตลอดเวลากว่า 5 ชม. ที่กลุ่มราษฎรทำกิจกรรมทั้ง 2 จุด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งเตือนผ่านรถเครื่องขยายเสียงเป็นระยะ ๆ ห้ามไม่ให้จัดกิจกรรม เพราะเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหลายฉบับ ทั้งพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โรคติดต่อ สร้างความไม่พอใจให้แก่แนวร่วมราษฎร โดยบางส่วนได้โห่ร้องขับไล่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเคลื่อนพลไปประจันหน้ากัน จนเกิดความชุลมุนหลายครั้ง

Trending

Exit mobile version