Health
ปลาแซลมอน กับ 5 ประโยชน์และอันตรายที่ควรรู้
แซลมอน
ปลาแซลมอนเป็นอาหารโปรตีนสูงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดชนิดหนึ่งในปัจจุบัน กรดไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย อย่างไรก็ตาม การรับประทานปลาแซลมอนมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายได้
การได้รับสารปรอทอาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง การมองเห็นเปลี่ยนผันผวนในปัญหาความจำอารมณ์ คุณควรศึกษาข้อมูลโภชนาการ ประโยชน์ และข้อควรระวังของปลาแซลมอนก่อนรับประทาน เพื่อความปลอดภัย
สารอาหารในปลาแซลมอน
ปลาแซลมอน ประกอบไปด้วยสารอาหารสำคัญที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่
- วิตามินบี 12
วิตามินบี 12 หรือที่เรียกว่าโคบาลามิน เป็นวิตามินที่ละลายน้ำได้ เช่นเดียวกับวิตามินบีอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการสังเคราะห์เซลล์เม็ดเลือดแดง ปรับปรุงการทำงานของเส้นประสาทและเพิ่มการเผาผลาญซึ่งช่วยในการเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน
ภาวะโลหิตจางอาจเกิดจากการขาดวิตามินบี 12 กล้ามเนื้ออ่อนแรงเนื่องจากความเมื่อยล้า การบาดเจ็บของเส้นประสาททำให้เกิดอารมณ์แปรปรวน และกลไกการย่อยอาหารทำงานผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถรับสารอาหารที่สำคัญได้
- วิตามินบี 6
วิตามินบี 6 หรือที่เรียกว่า ไพริดอกซิ (Pyridoxine) ช่วยบำรุงระบบประสาทและการเจริญเติบโตของสมอง นอกจากนี้ยังช่วยระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับการติดเชื้อ
ไวรัสที่เหนือกว่า เมื่อร่างกายขาดวิตามินบีอื่นๆ เช่น วิตามินบี 12 และกรดโฟลิก อาจทำให้ร่างกายขาดวิตามินบี 6 ส่งผลให้ร่างกายขาดสารอาหารอย่างรุนแรง ภาวะโลหิตจาง ความสิ้นหวัง และระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอเป็นไปได้ทั้งหมด
- กรดไขมันโอเมก้า 3
กรดไขมันโอเมก้า 3 มี 3 ชนิด ได้แก่ EPA, DHA และกรดอัลฟาไลโนเลนิก (ALA) การทำงานของเซลล์ในร่างกาย ทั้งยังเป็นแหล่งพลังงานที่ดีในการดำรงชีวิตและกิจกรรมต่าง ๆ โดยไม่ก่อให้เกิดความเหนื่อยล้า
นอกจากนี้ กรดไขมันโอเมก้า 3 อาจช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด บรรเทาอาการปวดตึงของข้อ บำรุงสมอง ป้องกันสมาธิสั้นหรือความจำเสื่อม
- วิตามินดี
วิตามินดีเป็นสารอาหารที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมจากอาหารที่เสริมสร้างกระดูก นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบจากอนุมูลอิสระ เพิ่มภูมิคุ้มกัน ปรับปรุงระบบประสาทและเซลล์สมอง
หากร่างกายมีภาวะขาดวิตามินดีโดยเฉพาะผู้สูงอายุ อาจเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน เบาหวาน ปวดกล้ามเนื้อ ข้ออักเสบ และโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งได้ ดังนั้น ควรได้รับวิตามินดีรวมในมื้ออาหารแต่ละมื้อ เพื่อรักษาสุขภาพที่ดี
- โพแทสเซียม
โพแทสเซียมเป็นสารอาหารที่ช่วยควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ ช่วยประสานการทำงานของกล้ามเนื้อ และรักษากระบวนการทำงานของอวัยวะอื่นๆ ในร่างกายให้เป็นปกติ
หากร่างกายของคุณขาดโพแทสเซียมหรือมีระดับโพแทสเซียมในเลือดต่ำ อาจส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลง หัวใจเต้นผิดปกติ ท้องผูก กล้ามเนื้อกระตุก เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง
- ซีลีเนียม
ซีลีเนียมมีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ และสลายสารเปอร์ออกไซด์ (Peroxide) ที่เป็นสาเหตุของการทำลายเนื้อเยื่อและนำไปสู่การอักเสบ การขาดซีลีเนียมในร่างกายอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ข้อเข่าเสื่อม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ผู้ที่เสี่ยงต่อการขาดซีลีเนียมมีดังนี้
- ผู้ติดเชื้อเอชไอวี เนื่องจากการดูดซึมอาหารบกพร่องและมีความอยากอาหารลดลง
- ผู้ที่เป็นโรคไตวาย ผู้ป่วยไตวายอาจจำเป็นต้องได้รับประทานอาหารอย่างจำกัดเพื่อตอบสนองต่อการรักษา จึงอาจส่งผลให้ร่างกายได้รับซีลีเนียมจากอาหารน้อยลง
- ไนอะซิน
ไนอะซิน (Niacin) เป็นวิตามินบีที่มีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลไม่ดีและเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดีแทน อย่างไรก็ ตามควรรับประทานไนอาซินในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากไนอาซินมีปริมาณสูงเกินไป อาจทำให้ตับเสียหาย มีปัญหาในทางเดินอาหาร ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว ท้องเสีย ผิวหนังแดงได้
ประโยชน์ของปลาแซลมอน
ประโยชน์ของปลาแซลมอน มีดังนี้
- ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ แซลมอนมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่อาจมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ที่เป็นไขมันไม่ดีในเลือดและความดันโลหิต เพราะภาวะเหล่านี้อาจนำไปสู่การเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง อีกทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 ยังช่วยควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ ซ่อมแซมหลอดเลือดและหนังหัวใจที่เสียหายได้
- บำรุงสุขภาพตา กรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นสารอาหารสำคัญในปลาแซลมอนที่อาจช่วยปรับปรุงแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการเสื่อมสภาพของจอประสาทตา บรรเทาอาการตาแห้งเรื้อรัง ลดอาการตาล้าจากการใช้งานเป็นเวลานาน และเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นสิ่งรอบตัวได้ดีขึ้น
- ปรับปรุงความจำและบำรุงสมอง วิตามินเอ วิตามินดี และซีลีเนียม เป็นสารอาหารในปลาแซลมอน อาจมีส่วนช่วยลดการอักเสบ ชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ประสาท ที่อาจลดความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์ เพิ่มประสิทธิภาพด้านการจดจำ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยทำให้เส้นประสาทผ่อนคลายเนื่องจากสารประกอบ Neurprotrctin D1 ที่ทำหน้าที่เสมือนยากล่อมประสาท
- ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง กรดไขมันโอเมก้า 3 มีคุณสมบัติลดการอักเสบเรื้อรัง ชะลอการเจริญเติบโตของเนื้องอกที่อาจพัฒนานำไปสู่การเกิดเซลล์มะเร็ง จนก่อให้เกิดโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเม็ดเลือดขาว เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง ดังนั้นจึงควรบริโภคแซลมอนอย่างน้อย 1 มื้อ/สัปดาห์
- ควบคุมอินซูลิน ตับอ่อนของร่างกายมักจะผลิตอินซูลินที่มีส่วนช่วยควบคุมการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต การรับประทานแซลมอนอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 วิตามินดี และซีลีเนียม อาจช่วยควบคุมอินซูลินในเลือด เพิ่มพลังงานการเผาผลาญ เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมอาหาร และป้องกันระดับน้ำตาลในเลือดสูง เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน
อันตรายที่อาจมาจากการรับประทานปลาแซลมอน
ปลาแซลมอนอาจมีการปะปนของสารปรอทที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเมทิลเลชั่น (Methylation) จากแบคทีเรียที่ทำปฏิกิริยากับสารปรอทในน้ำ ถึงแม้ว่าแซลมอนจะมีการปนเปื้อนของปรอทในปริมาณน้อย แต่หากรับประทานเป็นประจำทุกวันจนปริมาณสารปรอทในเลือดสูงเกินกว่า 5.8 ไมโครกรัม/ลิตร ก็อาจก่อให้ระบบประสาทถูกทำลาย กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปัญหาการหายใจ อารมณ์แปรปรวน การเคลื่อนไหวผิดปกติ การมองเห็นและการสื่อสารบกพร่องได้
ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนของปรอท ได้แก่
- เด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี
- ผู้หญิงที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์ อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ และช่วงให้นมบุตร
อีกทั้งควรระวังเรื่องของการรับประทานแซลมอนหรืออาหารทะเลที่ไม่ผ่านการปรุงสุก จากการศึกษาของทีมนักวิจัย University of Washington พบว่า ในอาหารทะเลอาจมีพยาธิ หนอนทะเล ปรสิต ที่อาจส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร ลำไส้ เสี่ยงอาหารเป็นพิษได้
นอกจากนี้ยังมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับปลาแซลมอนที่เลี้ยงในฟาร์ม อาจมีสารเคมี (ไดออกซิน) และยาปฏิชีวนะที่ก่อให้เกิดมะเร็ง ทารกอาจเกิดมาพร้อมกับความพิการแต่กำเนิดหากสตรีมีครรภ์กินปลาแซลมอนที่เลี้ยงในฟาร์มมากกว่าปลาแซลมอนป่า
ถ้าเป็นไปได้ควรกินปลาแซลมอนป่า และปรุงสุกทุกครั้งไม่ควรรับประทานแบบดิบ ๆ แต่อย่างไร องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกากล่าวว่า หากไม่ควบคุมการบริโภคปลาแซลมอนป่าในปริมาณที่เหมาะสม ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน
Related CTN News: